อุปกรณ์ ของเล่นและการป้องกันอุบัติเหตุของลูกวัย 3-6 ปี

☛ หากนั่งรถยนต์ควรนั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (car seat)
ที่ได้มาตรฐานทุกครั้งตลอดการเดินทาง
โดยปฏิบัติตามข้อแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด
เมื่ออายุ 4-7 ปี
และลูกมีน้ำหนักหรือส่วนสูงเกินกำหนดการใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเล็กแล้ว
ให้เปลี่ยนมาใช้ที่นั่งเสริม (booster seat)
ซึ่งติดตั้งที่เบาะหลังของรถ
☛ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
หากทุกคนในรถไม่คาดเข็มขัดนิรภัยและลูกไม่นั่งในที่นั่งนิรภัยไม่ควรติดเครื่องยนต์
☛ ก่อนออกรถทุกครั้งต้องสำรวจว่าไม่มีเด็กๆ อยู่ใกล้รถ
☛ ห้ามปล่อยลูกไว้ลำพังในรถ
☛
วัยนี้ไม่ให้ปล่อยให้วิ่งเล่นหรือขี่จักรยานบนถนนและทางเท้า
☛ วัย 1-5 ปี
หากโดยสารจักรยานควรมีที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กซึ่งยึดติดกับจักรยานอย่างแข็งแรง
และมีเข็มขัดยึดลูกกับที่นั่ง
และมีที่วางเท้าที่ป้องกันเท้าลูกเข้าไประหว่างซี่ล้อจักรยาน
☛
ควรสวมหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานทุกครั้งที่โดยสารรถจักรยานและจักรยานยนต์
☛
เมื่ออายุ 5 ปี ควรฝึกให้ขี่จักรยานให้ถูกวิธี ปลอดภัย ตามกฎจราจร
☛
วัย 2-6 ปีให้หลีกเลี่ยงการโดยสารรถจักรยานยนต์
เนื่องจากวัยนี้ยังไม่สามารถนั่งหลังคนขับตามลำพังได้

☛
ระวังอันตรายจากการจมน้ำ ควรตรวจสอบแหล่งน้ำในชุมชน
และกำจัดแหล่งน้ำไม่จำเป็นในบริเวณใกล้บ้าน
และไม่ปล่อยลูกไว้ใกล้แหล่งน้ำหรือในอ่างอาบน้ำตามลำพังแม้เพียงชั่วขณะ
☛ สอนลูกไม่ให้เดินใกล้แหล่งน้ำ
☛
เมื่ออายุ 4 ปีขึ้นไป ควรสอนการลอยตัวในน้ำและฝึกว่ายน้ำ
☛
เมื่ออายุ 5
ปีขึ้นไปควรสอนให้รู้จักแหล่งน้ำที่เสี่ยงและการหลีกเลี่ยง
☛ ควรดูแลใกล้ชิด ไม่ปล่อยลูกอยู่ในที่สูงตามลำพัง
☛
ควรให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย
ควรตรวจสอบสนามเด็กเล่นว่าเครื่องเล่นมีการยึดอยู่กับฐานอย่างปลอดภัย
และไม่ควรสูงเกิน 150 ซม.
☛ วัยนี้ชอบปีนป่าย
ควรตรวจสอบเฟอร์นิเจอร์ว่ามีความมั่นคงหรือยึดไว้กับผนัง
และตรวจสอบประตูรั้วบ้านว่ามีการยึดไว้อย่างมั่นคง
เพื่อป้องกันการล้มคว่ำลงมาทับลูกได้
☛ ควรมีประตูที่กั้นบันไดที่สูงกว่าตัวเด็กและปิดกลอนไว้เสมอ
☛ ซี่ราวบันไดและซี่ลูกกรงระเบียงต้องห่างกันไม่เกิน 9 ซม.
☛ หน้าต่างควรอยู่สูงกว่าพื้นอย่างน้อย 1 เมตร เพื่อป้องกันการปีนป่าย

☛
ของเล่นอื่นๆ ของลูกควรทำจากวัสดุที่ทนทานและปลอดภัย ไม่มีเหลี่ยมคม
สีธรรมชาติหรือใช้สีปลอดสารพิษ
☛ อย่าวางถุงพลาสติกไว้ใกล้ลูกเพราะอาจอุดตันทางเดินหายใจได้
☛ ของเล่นที่มีลักษณะกลมและมีขนาดเล็ก เช่น ลูกบอล ลูกแก้ว ลูกหิน
รวมถึงเมล็ดผลไม้
เป็นของที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเอาเข้าปากและเกิดการสำลักได้

☛ ไม่ควรถือเครื่องดื่มหรืออาหารร้อนๆ เมื่ออุ้มลูก
เพราะเสี่ยงต่อการถูกน้ำร้อนลวกได้
☛ ไม่ควรวางของร้อนไว้บนโต๊ะที่มีผ้าปูโต๊ะห้อยชายซึ่งลูกอาจดึงได้
และไม่ควรวางไว้ตรงพื้นที่ลูกอาจวิ่งมาสะดุดได้
☛ ไม่ควรพาลูกเข้าครัวขณะประกอบอาหารเพราะอาจเกิดอันตรายได้
☛ ควรตรวจสอบอุณหภูมิน้ำก่อนอาบน้ำให้ลูกเสมอ
และไม่ทิ้งเด็กไว้ในอ่างอาบน้ำตามลำพังแม้เพียงชั่วขณะ
☛ ควรติดตั้งปลั้กไฟไว้สูง 1.5 เมตรหรือใช้ที่ครอบปลั๊กไฟ
ควรเก็บสายไฟให้พ้นมือเด็ก และควรต่อสายดินและติดตั้งเครื่องตัดไฟอัตโนมัติ

☛ ควรจัดให้ลูกนอนในที่นอนของตนเองเป็นสัดส่วนแยกจากเตียงของผู้ปกครอง โดยอาจให้อยู่ในห้องเดียวกันก็ได้ขึ้นอยู่กับบริบทของครอบครัว ควรเลือกเตียง ฟูก หมอน ผ้าห่มที่เหมาะสม โดยหมอนและที่นอนไม่ควรนุ่มจนเกินไป เบาะที่นอนควรมีขนาดพอดีกับเตียงและหลีกเลี่ยงการนำตุ๊กตา และสิ่งอื่นๆ ไปไว้ในที่นอนของลูก

☛ อย่าปล่อยลูกไว้ตามลำพังกับสัตว์เลี้ยง นำสุนัข
แมวที่เลี้ยงไว้ไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าตามกำหนดทุกครั้ง
☛ สอนลูกไม่ให้เล่นกับสัตว์จรจัด สุนัขแม่ลูกอ่อน
และลูกสุนัขที่มีแม่อยู่ด้วย
☛ สอนลูกไม่ให้รังแกสัตว์ เช่น ดึงหู ดึงหาง เตะ
แย่งจานอาหาร และแย่งของเล่น
☛
ดูแลบริเวณรอบบ้านอย่าให้มีแมลงหรือสัตว์มีพิษมาทำรัง เช่น ผึ้ง ต่อ
แตน

☛
ควรมีภาชนะ และตู้สำหรับเก็บยาและสารเคมี อย่างเหมาะสม เด็กเปิดไม่ได้
และเก็บให้พ้นมือเด็ก
☛ หากลูกกินยาหรือสารพิษเข้าไป ควรติดต่อศูนย์พิษวิทยา 1367
เพื่อขอคำแนะนำในการปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธี

☛ หากจะฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรเยี่ยมชมและเลือกสถานที่ที่ดี
ปลอดภัย บุคลากรไว้ใจได้
☛ ผู้ดูแลเด็กควรได้รับการฝึกปฐมพยาบาลและการกู้ชีพเบื้องต้น
หากมีเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ โทร 1669
☛ ไม่ควรเก็บอาวุธปืนไว้ในบ้าน หากจำเป็น
ควรเก็บปืนที่ไม่ได้ใส่กระสุนปืนไว้อย่างมิดชิด
เก็บปืนและกระสุนปืนไว้แยกจากกัน
เรียบเรียงโดย : พญ.รสวันต์ อารีมิตร นพ.ชาญยุทธ์ ศุภคุณภิญโญ นพ.วิบูลย์ วีระอาชากุล
แหล่งข้อมูล : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย